แนะนำวิธีดูแลหลังฉีดโบท็อกอย่างเหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ!
การฉีดโบท็อกนั้นมีประโยชน์มากมาย ช่วยให้มีใบหน้าที่เต่งตึงต้านสัญญาณริ้วรอยระหว่างวัย ช่วยลิฟกรอบหน้า ลดขนาดกราม รวมทั้งลดเหงื่อได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามการที่จะให้ผลลัพธ์เหล่านี้คงทน และอยู่กับเราได้นาน ๆ จะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการด้วย หากใครอยากให้โบท็อกได้ประสิทธิภาพอยู่กับเราได้นาน ๆ ให้คุ้มกับค่าโบท็อกที่จ่ายไป ไม่สลายตัวไปในเวลารวดเร็วล่ะก็ เรามีวิธีดูแลหลังฉีดโบท็อกมาฝากกัน
วิธีดูแลหลังฉีดโบท็อกอย่างถูกต้อง
การดูแลหลังฉีดโบท็อกมีความสำคัญไม่แพ้กับการเลือกคลินิก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และยี่ห้อของโบท็อกเลยล่ะ เพราะหากฉีดด้วยเทคนิคดีแค่ไหน ยี่ห้อโบท็อกที่แพงแค่ไหน แต่ไม่ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ล่ะก็ ผลลัพธ์เหล่านั้นก็จะอยู่กับเราไม่นาน วิธีดูแลหลังฉีดโบท็อกง่าย ๆ ทำได้ไม่ยาก ที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพของโบท็อกคงทน มีดังนี้
- หลังการฉีดโบท็อกซ์ในแต่ละบริเวณ ควรบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดที่ฉีดเป็นเวลา 30 นาที โดยรีบขยับและเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยให้โบท็อกเข้าสู่เส้นประสาท ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อมัดที่ฉีดนั้น ๆ ได้ดีขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดี
- หลังจากที่โบท็อกออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งกระแสประสาท ซึ่งช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อแล้วนั้น ให้พยายามเปลี่ยนนิสัยในการขยับกล้ามเนื้อนั้น ๆ ให้น้อยลง เช่น หากโบท็อกกราม ควรพยายามไม่เคี้ยวอาหารเหนียว ๆ โดยไม่จำเป็น เพราะการที่เรากระตุ้นกล้ามเนื้อบ่อย ๆ จะทำให้เซลล์เส้นประสาทงอกขึ้นมาใหม่ได้ กล้ามเนื้อจะกลับมาทำงานได้ไวขึ้น ทำให้เรากลับมามีกรามที่ใหญ่ขึ้นได้เร็วกว่าที่ควรนั่นเอง
- ไม่ควรประคบเย็นเพราะจะขัดขวางการดูดโบท็อกเข้าเซลล์ประสาท
ข้อห้ามหลังฉีดโบท็อก
วิธีดูแลหลังฉีดโบท็อก นอกจากมีวิธีง่าย ๆ ดังข้างต้นแล้ว ยังมีในส่วนของข้อห้ามปฏิบัติที่ควรงดเว้นหลังการฉีดโบท็อกเพิ่มเติม เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดี และลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าและการนวด หรือกดบริเวณหน้า
การสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ การกด หรือนวดบริเวณที่ฉีดโบท็อกในระยะแรกหลังฉีด ซึ่งตัวยายังไม่ซึมเข้าไปอย่างเข้าที่ อาจส่งผลเสียที่ไม่คาดคิดที่ตัวยาโบท็อกจะไหลไปยังกล้ามเนื้อในส่วนอื่นที่ไม่ต้องการ ซึ่งโบท็อกจะเริ่มออกฤทธิ์ในระยะ 2 – 3 วันแรก และจะแสดงผลชัดเจนในช่วง 7 – 14 วันหลังการฉีด
ในระยะนี้จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส การกดหรือนวดใบหน้าบริเวณที่ฉีดโบท็อก เพื่อป้องกันไม่ให้ยากระจายไปสู่พื้นที่อื่นที่ไม่ต้องการ ทำให้โบท็อกสามารถดูดซึมและมีประสิทธิภาพในบริเวณที่ฉีดได้เต็มที่
2. เลี่ยงการทำหัตถการบนใบหน้าที่ใช้ความร้อน
อีกหนึ่งวิธีดูแลหลังฉีดโบท็อกให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี คือ การเลี่ยงหัตถการต่าง ๆ ที่ใช้ความร้อนเพื่อเข้าสู่ชั้นผิว เช่น Hifu, Thermage หรือ Ulthera รวมทั้งเลเซอร์อื่น ๆ ที่เป็นการทำทรีตเมนต์ โดยการส่งคลื่นอัลตราซาวนด์ และคลื่นความร้อนลงลึกไปในผิว ซึ่งคลื่นดังกล่าวนี้สามารถทำให้ยาโบท็อกสลายตัวและสภาพลดลงได้
ดังนั้นในช่วง 14 วันหลังการฉีดโบท็อก ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการเหล่านี้ รวมทั้งการกระทำอื่น ๆ ที่เกิดความร้อนต่อผิว เช่น การทานอาหารหน้าเตาร้อน การอาบน้ำอุ่น อบเซาว์น่า และควรหลีกเลี่ยงแสงแดดด้วย เพื่อไม่ให้โบท็อกถูกทำลายก่อนออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ หากผ่านระยะ 14 วันแรกนี้แล้ว จะสามารถทำหัตถการเลเซอร์ได้โดยไม่มีผลกระทบต่อโบท็อก เพราะโบท็อกออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพแล้ว
3. เลี่ยงการนอนราบใน 4 ชั่วโมงแรกหลังทำ
ควรหลีกเลี่ยงการนอนราบหรือนอนตะแคงหลังจากฉีดโบท็อกในช่วงหลังการรักษา 4 ชั่วโมงแรก เนื่องจากการเคลื่อนไหวเอนศีรษะนอนราบอาจทำให้โบท็อกกระจายไปในทิศทางที่ไม่ต้องการ อาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น หน้าตก และปากเบี้ยว เป็นต้น อาการเหล่านี้จะหายได้เองตามธรรมชาติเมื่อหมดฤทธิ์ของโบท็อก แต่อาจใช้เวลานานกว่าที่อาการเหล่านี้จะหายเป็นปกติ
4. ควรงดการทานอาหารเสริม และยาบางชนิดที่ลดการแข็งตัวของเลือด
วิธีดูแลหลังฉีดโบท็อก เพื่อให้ประโยชน์ในการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกลุ่มยาหรืออาหารเสริมที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เนื่องจากอาจส่งผลให้กระบวนการหยุดเลือดช้าลง ทำให้เกิดรอยช้ำและบวมบริเวณที่ฉีดโบท็อกได้ ยกตัวอย่างกลุ่มยาและอาหารเสริมที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น วิตามิน อี (Vitamin E), น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส (Evening Primrose), ยาแก้ปวด และยาต้านการอักเสบ ชนิด NSAIDs เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), และนาพรอกเซน (Naproxen)
นอกจากนี้ยังรวมถึงอาหารและอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรรสร้อน และอาหารรสเผ็ด ซึ่งกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม โสม และสารสกัดจากใบแปะก๊วย (Gingko) ซึ่งเหล่านี้อาจเพิ่มอาการบวมช้ำหลังการฉีดโบท็อกได้
5. ควรงดอาหารบางชนิดที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดการอักเสบ
วิธีดูแลหลังฉีดโบท็อกไม่เพียงแค่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตหลังการฉีดโบท็อก และการงดยาและอาหารเสริมบางชนิดเท่านั้นที่ส่งผลต่อผลลัพธ์หลังทำหัตถการ แต่อาหารและเครื่องดื่มที่เรารับประทานก็มีบทบาทต่อผลลัพธ์หลังการฉีดโบท็อกได้เช่นกัน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงแรกของการฉีดโบท็อก เป็นระยะเวลา 14 วัน ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การสูบบุหรี่, อาหารหน้าเตาร้อน, อาหารหมักดอง, และอาหารเผ็ดจัด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มขึ้นได้
ผลข้างเคียงหลังฉีดโบท็อกที่ควรไปพบแพทย์ทันที
อีกหนึ่งในวิธีดูแลหลังฉีดโบท็อก คือ การสังเกตอาการของตัวเองหลังการฉีดโบท็อก ในผู้รับบริการบางรายอาจมีอาการแพ้โบท็อกได้ แต่จะพบได้น้อยมาก เมื่อแพ้อาจมีผื่นคันขึ้นบริเวณผิวหนังที่ฉีดโบท็อก หรือบางคนอาจรู้สึกอ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีปัญหาหายใจติดขัด กรณีนี้ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะจัดเป็นการแพ้ระดับรุนแรง
ซึ่งสาเหตุของอาการแพ้โบท็อกเกิดจากการร่างกายสร้างภูมิต้านทานเพื่อต่อต้านสารแปลกปลอมที่ฉีดเข้าไป แต่การตอบสนองของร่างกายแต่ละคนอาจแตกต่างกัน จึงพบในลักษณะอาการที่มีความรุนแรงแตกต่างกันได้ มักพบในกรณีที่ฉีดโบท็อกบ่อยเกินไปหรือในปริมาณมากเกินไป จะกระตุ้นให้ร่างกายเราจดจำว่าโบท็อก (Botulinum toxin) คือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันมากำจัดโบท็อกออก จึงเกิดการดื้อโบท็อกได้ ซึ่งอาจส่งผลให้การฉีดโบท็อกไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่เคยผ่านมา
ความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีดโบท็อกจะลดลง และผลของโบท็อกจะออกฤทธิ์ได้ดี นอกจากขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของเรา และวิธีดูแลหลังฉีดโบท็อกแล้ว ประสิทธิภาพของการฉีดโบท็อกยังขึ้นอยู่ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ซึ่งก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน “อทิตาคลินิก” เป็นคลินิกเสริมความงามที่ทันสมัยพร้อมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาตลอดทุกการบริการด้านความงาม ผ่านการรับรองตามมาตรฐานและมีความปลอดภัย โบที่นี่หน้าปัง ไม่พัง แน่นอน หากมีคำถามหรือข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สายด่วนด้านความงาม โทร.094-324-4442