รวมเรื่องต้องรู้ก่อนฉีดโบท็อกครั้งแรก!
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้น ๆ ในวงการแพทย์ความงาม เพราะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวและสุขภาพได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การฉีดโบท็อกลดริ้วรอย ฉีดโบท็อกหน้าผาก ฉีดโบท็อกลดกราม ฉีดโบท็อกลิฟกรอบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย ฉีดโบท็อกรักแร้เพื่อลดเหงื่อและกลิ่นตัว ไปจนถึงฉีดโบท็อกลดน่อง ฉีดโบท็อกลดแขน ให้แขนขาเรียวเล็ก
ถ้าหากคุณเป็นหนึ่งในคนที่เริ่มเข้าคลินิกความงาม เพื่อที่จะดูแลผิวของตัวเองให้สวยงามและเยาว์วัยอยู่เสมอ เชื่อว่าการฉีดโบท็อกจะต้องเป็นหนึ่งในหัตถการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน แล้วการฉีดโบท็อกคืออะไร? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? ราคาเท่าไหร่? อทิตาคลินิก (Atita Clinic) ได้รวมเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดโบท็อกครั้งแรกมาให้แล้ว จะน่าสนใจแค่ไหน ไปดูกัน!
ฉีดโบท็อก คืออะไร?
การฉีดโบท็อก คือ การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) ซึ่งเป็นสารที่สกัดจากแบคทีเรียสายพันธ์ุคลอสติเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) เข้าไปที่กล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ โดยตัวยาจะเข้าไปจับกับปลายประสาทที่มาควบคุมกล้ามเนื้อ แล้วยับยั้งการกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทนั้น ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ และอยู่ในสภาพคลายตัวในที่สุด
ฉีดโบท็อก ช่วยอะไรบ้าง?
นอกจากจะนำมาใช้รักษาอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดไมเกรน รักษาโรคเคลื่อนไหวผิดปกติ และการนอนกัดฟันแล้ว โบท็อกยังถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ความงามอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถช่วยรักษาปัญหาผิวและสุขภาพได้หลายอย่าง ดังนี้
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น รอยตีนกา ริ้วรอยหางตาร่องหว่างคิ้ว หรือริ้วรอยบนหน้าผาก
- ช่วยลิฟกรอบหน้า ลดริ้วรอยที่บริเวณคอ
- ช่วยลดขนาดกรามที่ใหญ่จากกล้ามเนื้อ ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
- ช่วยลดกล้ามบริเวณแขน และน่อง แก้ปัญหาแขนใหญ่ น่องปูด จนดูเหมือนผู้ชาย
- ช่วยลดเหงื่อบริเวณใต้วงแขน ฝ่ามือ และฝ่าเท้า แก้ปัญหาเรื่องกลิ่นตัว
- ช่วยรัดแกนจมูกให้คมขึ้น และขนาดของปีกจมูก
ฉีดโบท็อกจุดไหนได้บ้าง?
การฉีดโบท็อก สามารถฉีดได้ทุกจุดที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก, กราม, ระหว่างคิ้ว, สันจมูก, หางตา, ปีกจมูก, กรอบหน้า, ลำคอ, เหนียง, รักแร้, แขน, น่อง, รักแร้, ฝ่ามือ และฝ่าเท้า โดยแต่ละบริเวณจะใช้ยูนิตที่แตกต่างกัน ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรักษาจะเป็นการประเมินปริมาณโบท็อกที่เหมาะสมเอง
ฉีดโบท็อกยี่ห้อไหนดีที่สุด?
ในปัจจุบันมีโบท็อกให้เลือกฉีดหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อก็จะมีจุดเด่นและราคาที่แตกต่างกันไป โดยในไทยจะนิยมฉีดโบท็อกยี่ห้อหลัก ๆ ดังนี้
- อัลเลอร์แกน (Allergan) : เป็นโบท็อกจากอเมริกาที่มีงานวิจัยรองรับยาวนานที่สุด จะมีจุดเด่นตรงที่ตัวยากระจายตัวได้แคบที่สุด ทำให้รักษาเฉพาะจุดได้อย่างแม่นยำ
- ดิสพอร์ต (Dysport) : เป็นโบท็อกจากอังกฤษ มีจุดเด่นตรงที่สามารถกระจายตัวได้กว้าง จึงเหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณกว้าง ๆ เช่น ฉีดยกกระชับใบหน้า ฉีดโบท็อกรักแร้เพื่อลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว หรือฉีดลดต้นแขน ลดน่อง
- ซีโอมิน (Xeomin) : เป็นโบท็อกจากเยอรมัน จะมีจุดเด่นตรงที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก และตัวยาจะไม่กระจุกตัวแคบเกินไป จึงสามารถนำมาใช้รักษาปัญหาผิวได้อย่างหลากหลาย และมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดอาการดื้อโบท็อกน้อยมาก
- เอสท็อกซ์ (Aestox) : เป็นโบท็อกจากเกาหลีที่เพิ่งเข้ามาในไทย จะมีจุดเด่นตรงที่มีงานวิจัยร่วมกับโรงพยาบาลศิริราชมากกว่า 5 ปี และมีความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5% จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการดื้อโบท็อกน้อย และออกฤทธิ์ได้เร็ว เห็นผลไว
- นาโบตะ (Nabota) : เป็นโบท็อกจากเกาหลีที่ผ่านการรับรองจาก อย. อเมริกา จะมีจุดเด่นตรงที่ออกฤทธิ์ได้ไวกว่าโบท็อกยี่ห้ออื่น ๆ เล็กน้อย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นผลอย่างรวดเร็ว
- โบทูแลค (Botulax) : เป็นโบท็อกจากเกาหลีที่มีคุณสมบัติคล้ายกับอัลเลอร์แกน แต่จะออกฤทธิ์ได้ไวกว่าเล็กน้อย มีระยะเวลาอยู่ได้สั้นกว่าเล็กน้อย และมีราคาที่ถูกกว่ามาก
- ฮูเจล (Hugel) : เป็นโบท็อกจากเกาหลีที่มีประสิทธิภาพเทียบเคียงกับอัลเลอร์แกน มีความบริสุทธิ์ถึง 99.5% ปลอดภัยจากสารปนเปื้อน ช่วยลดโอกาสเกิดการดื้อยาได้มาก โดดเด่นในเรื่องการออกฤทธิ์แม่นยำ และกระจายตัวแคบ ทำให้โบท็อกเข้าไปแก้ปัญหาได้ตรงจุด
ฉีดโบท็อก ราคาเท่าไหร่?
ราคาการฉีดโบท็อกจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกที่ใช้ และปริมาณที่ฉีดเป็นหลัก
ฉีดโบท็อก กี่วันเห็นผล?
ระยะเวลาการเห็นผลของโบท็อกจะแตกต่างกันไปในบริเวณที่ฉีด โดยยิ่งกล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ก็จะใช้ระยะเวลาเห็นผลนานมากขึ้นเท่านั้น เช่น การฉีดโบท็อกลดริ้วรอยบนใบหน้า หรือฉีดโบท็อกลดกราม จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1 – 2 สัปดาห์ ในขณะที่การฉีดโบท็อกลดน่อง หรือลดต้นแขน อาจใช้ระยะเวลานาน 1 – 3 เดือน ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ฉีดโบท็อก อยู่ได้นานไหม?
ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อก ตำแหน่งที่ฉีด และการดูแลตัวเองของแต่ละคน แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผลลพธ์ของการฉีดโบท็อกจะอยู่ได้นาน 4 – 6 เดือน ต่อการฉีด 1 ครั้ง และถ้าหากต้องการคงผลลัพธ์ไว้ ก็จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการฉีดโบท็อกซ้ำตามคำที่แพทย์แนะนำ
ควรฉีดโบท็อกทุกกี่เดือน?
ควรฉีดโบท็อกทุก 4 – 6 เดือน ไม่ควรฉีดโบท็อกถี่เกินไป (น้อยกว่า 3 เดือน) เพราะจะเสี่ยงให้เกิดอาการดื้อโบท็อกได้ และไม่ควรเว้นระยะห่างเกินไป (มากกว่า 6 เดือน) เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ปกติ ทำให้ต้องใช้ปริมาณโบท็อกเพิ่มมากขึ้น
ข้อห้ามในการฉีดโบท็อก
แม้ว่าการฉีดโบท็อกจะเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย แต่ก็จะมีข้อจำกัดในคนบางกลุ่ม เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ โดยคนที่ห้ามฉีดโบท็อก มีดังนี้
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนผสมของโบท็อก
- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยรองรับด้านความปลอดภัย
- ผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น amyotrophic lateral sclerosis (ALS), Lou Gehrig’s disease, myasthenia gravis และ Lambert-Eaton syndrome
- ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่จะฉีดโบท็อก
- ผู้ที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือมีภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก
ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก ควรเตรียมตัวดังนี้
- งดใช้ยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น Aspirin, Coumadin, Ibuprofen, Advil, Motrin, Multivitamins, Fish oil, Omega3, Co-enzyme Q10 หรือ Evening Primrose Oil อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเสียเลือดมาก และการเกิดอาการฟกช้ำ
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนฉีด
- หากมีปัญหาสุขภาพ หรือโรคประจำตัว จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับบริการ
- ในวันที่เข้ารับบริการ แนะนำให้ล้างเครื่องสำอาง หรือทำความสะอาดใบหน้าให้เรียบร้อยก่อนพบแพทย์
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อก
หลังจากฉีดโบท็อกแล้วจะต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ และทำให้ผลลัพธ์ของโบท็อกมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยแพทย์อาจแนะนำให้ดูแลตัวเอง ดังนี้
- พยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทุก ๆ 15 นาที ใน 4 ชั่วโมงแรก เพื่อให้โบท็อกกระจายเข้าสู่กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงการนอนราบ หรือเอนศีรษะ อย่างน้อย 4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อป้องกันโบท็อกไหลไปยังบริเวณข้างเคียง
- หลังครบ 4 ชั่วโมง สามารถล้างหน้าและทาครีมบำรุงได้ แต่ให้งดแต่งหน้า 1 วัน
- หลีกเลี่ยงการโดนความร้อน หรือทำเลเซอร์ความร้อนที่ลงผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การอบซาวน่า แช่น้ำอุ่น หรือออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะจะทำให้โบท็อกสลายเร็วขึ้น
- งดการนวดกดจุดบริเวณที่ฉีด 1 เดือน หลังฉีด
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการฉีดโบท็อก
แม้ว่าการโบท็อกจะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย และมีการใช้อย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หลังฉีดได้ โดยผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการฉีดโบท็อก มีดังนี้
- มีอาการบวม แดง ช้ำ หรือเขียว บริเวณที่ฉีด
- มีอาการแพ้เห่อแดงบริเวณที่ฉีดหนังตาตก เกิดจากกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต โดยจะเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น
- รู้สึกหน้าแข็งตึง ยิ้มได้ไม่สุด เกิดจากการฉีดโบท็อกปริมาณที่มากกว่าเกินไป
- หางคิ้วกระดก หน้าตอบ ตาตก ปากเบี้ยว เกิดจากการฉีดโบท็อกผิดตำแหน่ง
- ฉีดโบท็อกแล้วไม่เห็นผล เกิดจากอาการดื้อโบท็อก ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ชัดเจน
ฉีดโบท็อกเจ็บไหม?
ก่อนที่จะฉีดโบท็อกจะมีการทายาชาและประคบเย็นก่อนทุกครั้ง ทำให้ลดอาการเจ็บขณะฉีดโบท็อกได้มาก โดยผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือบางคนก็ไม่รู้สึกเจ็บเลย
ฉีดโบท็อก สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ไหม?
หลังจากฉีดโบท็อกแล้ว แนะนำให้เว้นระยะอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะทำหัตถการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Ulthera, HIFU หรือ Thermage เพื่อป้องกันพลังงานเหล่านี้ไปกระทบกับตัวยา อีกทั้งยังเป็นการรอดูผลลัพธ์ที่ชัดเจนของโบท็อกด้วย จะได้รู้ว่าพึงพอใจในผลลัพธ์ไหม จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มหรือเปล่า
สนใจฉีดโบท็อก ที่อทิตาคลินิก ทำอย่างไรดี?
สำหรับท่านใดที่สนใจฉีดโบท็อกที่อทิตาคลินิก (Atita Clinic) สามารถติดต่อนัดหมายเข้ามาพบคุณหมอที่เบอร์โทรศัพท์ 094-324-4442 หรือไลน์ @atitaclinic ได้เลย! คุณหมอของเราพร้อมให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ประเมินแบบละเอียด เคสบายเคส มั่นใจได้เลยว่า คุณจะได้รับคำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา และแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างแน่นอน