Atita Clinic

ปัญหาใต้ตาดำ หรือตาแพนด้า เป็นปัญหาที่กวนใจสาว ๆ อยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากจะทำให้ใบหน้าดูโทรมแล้ว ยังลดความมั่นใจของสาว ๆ ไปได้อีกด้วย ทำให้หลายคนต้องพยายามใช้คอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดรอยดำเหล่านี้ให้หายไปหรือดูจางลง ซึ่ง Atita Clinic เชื่อว่า หลาย ๆ คนคงจะเข้าใจว่า ปัญหาใต้ตาดำเกิดจากการพักผ่อนน้อย แต่มีความเป็นจริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใต้ตาดำยังมีอีกหลายปัจจัย แน่นอนว่าในบทความนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใต้ตาดำ รวมถึงวิธีแก้ที่ตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ใครใต้ตาดำแล้วไม่อยากโบกคอนซีลเลอร์หนาเป็นก้อน ต้องห้ามพลาด! ทำความเข้าใจปัญหาใต้ตาดำเกิดจากอะไร? 1. พันธุกรรม ปัญหาเบ้าตาลึก หรือใต้ตาดำอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ในบางกรณี นอกจากนี้เชื้อชาติของแต่ละครอบครัวก็อาจมีส่วนที่ทำให้ใต้ตาคล้ำมากกว่าปกติอีกด้วย เช่น คนที่มีเชื้อชาติหรือเป็นลูกครึ่งอาหรับ อินเดีย เป็นต้น 2. โรคภูมิแพ้ สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะมีเส้นเลือดดำรอบดวงตาที่ขยายใหญ่กว่าปกติ มักจะเกิดอาการคันหรือระคายเคืองบริเวณดวงตา จนเผลอขยี้ตาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการขยี้ตาบ่อย ๆ จะเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีในผิวสร้างเม็ดสีมากขึ้น ทำให้ผิวใต้ตาดำ นอกจากนี้ในส่วนของคนที่มีการไหลเวียนของเลือดไม่ดี ก็จะทำให้บริเวณตาหรือจมูกบวม และปิดกั้นการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้มีเลือดคั่งอยู่บริเวณผิวใต้ตา และทำให้ขอบตาดูดำคล้ำ 3. อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ผิวบริเวณรอบดวงตาจะบางลงจากการที่ไขมันบริเวณดวงตาฝ่อลง ทำให้สามารถเห็นเส้นเลือดดำได้ชัดเจน […]

“หน้าแก่” คำพูดทำร้ายจิตใจที่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะแม้ว่าผิวพรรณของเราจะมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาและอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ทำให้ใบหน้าของเราเกิดริ้วรอย ใบหน้าหย่อนคล้อย และมีฝ้ากระ จนทำให้หน้าแก่ก่อนวัย ซึ่งในบทความนี้ Atita Clinic จะพาคุณมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัย เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ทำร้ายผิวพรรณของเรา รวมถึงหาวิธีดูแลและปกป้องผิวพรรณจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จะมีข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์บ้าง ไปดูกัน! 5 สาเหตุของปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย 1. การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ หากพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนแห่งความเครียด ที่จะเข้าไปทำลายสารต้านอนุมูลอิสระ และคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวให้ลดลง ซึ่งจะทำให้ผิวสูญเสียสารสำคัญไป และเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย รวมถึงปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา เช่น เป็นสิว มีริ้วรอยก่อนวัยอันควร ผิวหมองคล้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วงเวลากลางคืนยังเป็นช่วงที่ร่างกายหลั่งสาร Growth Hormone ออกมาเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรออีกด้วย หากพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างเต็มที่ ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้หน้าแก่ก่อนวัย ก็ควรจะให้ความสำคัญกับการพักผ่อนให้เพียงพอ ในเวลาที่เหมาะสม 2. ความเครียด นอกจากฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) จะเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาเมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว

การเสริมจมูก เป็นศัลยกรรมที่ช่วยให้ใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจน ทำให้เป็นศัลยกรรมที่คนส่วนใหญ่นิยมทำเป็นอันดับแรก ซึ่งคำถามยอดฮิตของผู้ที่อยากมีจมูกโด่งสวยรับกับรูปหน้า ก็คือ “เลือกซิลิโคนเสริมจมูกแบบไหนดี ถึงจะเข้ากับรูปหน้า?” เพราะในปัจจุบันมีซิลิโคนเสริมจมูกหลากหลายประเภทให้เลือก แน่นอนว่าในบทความนี้ Atita Clinic จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับซิลิโคนเสริมจมูกแต่ละแบบ รวมถึงแจก Tips วิธีเลือกซิลิโคนเสริมจมูกให้รับกับรูปหน้า ใครมีแพลนจะเสริมจมูกเร็ว ๆ นี้ หรือกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกซิลิโคนอยู่ต้องติดตามให้จบ! ซิลิโคนเสริมจมูกทำมาจากอะไร? ซิลิโคน หรือสารสังเคราะห์ที่สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งซิลิโคนที่นำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมจมูก จะต้องเป็นซิลิโคนที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และยืดหยุ่นได้ดี รวมถึงต้องผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในทางการแพทย์เท่านั้น หรือที่เรียกว่า Medical Grade Silicone ซิลิโคนเสริมจมูกมี 2 แบบ ดังนี้ 1. ซิลิโคนเสริมจมูกแบบสำเร็จรูป เป็นซิลิโคนเสริมจมูกที่ใช้งานสะดวก เนื่องจากถูกขึ้นรูปทรงที่แน่นอนไว้แล้ว โดยลักษณะจะมีความกว้างยาวที่แตกต่างกันไป สามารถเหลาปรับแต่งรูปทรงได้เล็กน้อย ซึ่งข้อดีของซิลิโคนสำเร็จรูปคือ มีโอกาสเบี้ยวหรือเอียงน้อย ได้รูปทรงที่แน่นอน และสามารถเหลาให้เข้ากับรูปจมูกของแต่ละคนได้ 2. ซิลิโคนเสริมจมูกแบบเหลา เป็นซิลิโคนเสริมจมูกที่ผลิตมาเป็นแท่งสี่เหลี่ยม ซึ่งแพทย์จะต้องนำมาเหลาขึ้นรูปทรงให้เหมาะกับรูปจมูกของแต่ละคน เพื่อให้ได้ทรงที่เหมาะกับใบหน้ามากที่สุด โดยซิลิโคนแบบเหลาสามารถแบ่งออกได้ 4 ชนิดตามลักษณะความอ่อนแข็งคือ แข็ง (Hard)

การฉีดไขมันหน้าด้วยไขมันตัวเองเพื่อปรับโหงวเฮ้ง ให้หน้าสวยได้รูป เป็นเทคนิคที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ไขมันของตัวเองฉีดเข้าไปเพื่อปรับรูปหน้าแทนการฉีดสารแปลกปลอม ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ แต่แน่นอนว่าสิ่งที่หลายคนกังวลในการฉีดไขมันหน้าด้วยไขมันตัวเอง ก็คือเรื่องของผลลัพธ์ว่าการฉีดไขมันตัวเองอยู่ได้นานแค่ไหน คุ้มค่าที่จะทำหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และเทคนิคของแพทย์แต่ละคนที่ต้องให้ความใส่ใจในการเลือกอีกด้วย และแน่นอนว่าจากความนิยมของการฉีดไขมันหน้าด้วยไขมันตัวเอง ทำให้มีหลายคนเกิดข้อสงสัยขึ้นมากมายเกี่ยวกับเทคนิคนี้ ซึ่งในบทความนี้ Atita Clinic ก็ได้รวบรวมคำตอบที่เป็นประโยชน์สำหรับคนที่สนใจปรับโหงวเฮ้งให้หน้าสวยได้รูปมาฝากกัน ใครอยากรู้ว่าฉีดไขมันตัวเองอยู่ได้นานแค่ไหน ต้องห้ามพลาด! ไขข้อสงสัย! ฉีดไขมันตัวเองอยู่ได้นานแค่ไหน? ฉีดไขมันตัวเองอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ หากสงสัยว่าฉีดไขมันตัวเองอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคและความเชี่ยวชาญของแพทย์ที่เลือก เพราะเทคนิคนี้ต้องใช้ทั้งความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการปลูกถ่ายไขมันตั้งแต่ขั้นตอนการดูด และขั้นตอนการฉีด เพื่อให้ไขมันมีโอกาสติดสูง นอกจากนี้ยังต้องมีประสบการณ์ในการออกแบบใบหน้าอีกด้วย ซึ่งที่ Atita Clinic จะมีการเพิ่มเทคนิค PRP, Growth Factor และ Fat Stemcell เข้าด้วยกัน เพื่อเลี้ยงให้เซลล์เติบโต เกาะติดดีขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า อีกทั้งเรายังมีทีมแพทย์ที่มีความชำนาญในการออกแบบรูปหน้า (Facial Design) เพื่อให้เหมาะกับสรีระของแต่ละบุคคล อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ไม่แพ้กันก็คือ การดูแลตัวเองหลังฉีด ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย และเพิ่มประสิทธิภาพของผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น รับประทานยาฆ่าเชื้อตามที่แพทย์สั่งจนหมด หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำจนกว่าแพทย์จะอนุญาต นอนศีรษะสูงประมาณ

โรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือ Ocular Myasthenia Gravis เป็นภาวะที่เปลือกตาหรือหนังตาหย่อนลงมากกว่าปกติ จากการที่กล้ามเนื้อตาไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ยิ่งในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่กับคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอโทรศัพท์เป็นเวลานาน ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากโรคนี้จะมีผลด้านความสวยงามแล้ว ยังอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และบุคลิกภาพได้อีกด้วย ทำให้หลายคนมองหาแนวทางแก้ไขโรคนี้ แน่นอนว่าในบทความนี้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ Atita Clinic จะพาคุณมาทำความรู้จักกับอาการของโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาหนังตาตก ตาปรือ หรือดวงตาอ่อนล้าง่าย ได้ทราบถึงสาเหตุ และวิธีแก้ไข และสามารถกลับมามั่นใจได้ดังเดิม กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงอาการเป็นอย่างไร? • หนังตาตก หนังตาตก เป็นอาการที่อาจขึ้นตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดจากโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงในภายหลัง โดยเด็กที่เป็นโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงตั้งแต่เกิด จะมีลักษณะตาตก ตาปรือ เพราะกล้ามเนื้อตาไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ สังเกตได้จากขอบตาบนที่คลุมปิดตาดำมากกว่าปกติ นอกจากนี้ ในบางรายยังอาจมีการมองเห็นที่ผิดปกติร่วมด้วย ซึ่งมักจะทำให้เด็กชอบเอียงหรือแหงนคอเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ในส่วนของคนที่เกิดโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงในภายหลัง มักจะเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อตาเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อตายืดออกจนไม่สามารถออกแรงเปิดตาได้อย่างเต็มที่ รวมถึงทำให้หนังตาตกปิดทับตาดำมากกว่าปกติ ส่งผลให้ตาปรือ ตาดูไม่เท่ากัน ดูง่วงอยู่ตลอดเวลา • ลืมตาไม่ขึ้น หรือ ลืมตาได้ไม่เต็มที่ หากเป็นโรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง กล้ามเนื้อตาลีเวเตอร์ที่ทำหน้าที่ยกเปลือกตาบนขึ้น จะสูญเสียความแข็งแรง ทำให้ไม่สามารถลืมตาได้เต็มที่ ลืมตายาก หรือลืมตาไม่ขึ้น